ทะเลอะแบบสร้างสรรค์
ความรุนแรงในครอบครัวจะสะท้อนภาพของปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ และเป็นปัญหาพื้นฐานของครอบครัวนั้นคือ "การทะเลาะเบาะแว้ง" หลายๆคนคงไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าไม่มีสามีภรรยาคู่ใดในโลกที่จะไม่ทะเลาะกัน มีแต่ว่าจะทะเลาะกันมากน้อยเพียงไรและรุนแรงแค่ไหนเท่านั้น ดั่งคำโบราณที่ว่าสามีภรรยานั้นเปรียบเสมือนลิ้นกับฟันที่ต้องมีการกระทบกันบ้างและบางครั้งการทะเลาะกันถูกเปรียบเสมือนกับการเติมสีสันให้กับชีวิตคู่ อย่างไรก็ตามความขัดแย้งเมื่อเกิดขึ้นแต่ละครั้งผลสุดท้ายมักจะตกอยู่กับทุกๆ คนในครอบครัว และที่ได้รับผลมากที่สุดคือที่ลูก ทั้งนี้ การทะเลาะดูเหมือนจะไม่สามารถที่จะเลี่ยงได้ แต่เราจะมีวิธีจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร เพื่อที่จะเปลี่ยนให้ผลจากเชิงลบมาเป็นผลเชิงบวก และสร้างสรรค์ "ทะเลาะอย่างไรให้สร้างสรรค์"
กับครอบครัว ลูกๆก็จะมีการเรียนรู้การที่พ่อแม่ทะเลาะกันโดยดูจากปฏิกิริยาที่พ่อแม่ทะเลาะกัน ดูน้ำเสียง ดูสีหน้าพ่อแม่ที่ทะเลาะกัน และเมื่อเขามองดู แล้วก็รู้สึกว่าปฏิกิริยาของพ่อแม่เปลี่ยนไป เขาจะตกใจพ่อแม่หลายคนขณะที่กำลังโกรธ มักจะหาคำพูดที่ไม่น่าพูด เช่น ไปหย่ากันเลย ทั้งที่ใจจริงลึกๆไม่อยากเป็นอย่างนั้น แต่เป็นเพราะอารมณ์พาไป ภาพจาก www.blogspot.com พญ. วินัดดา ปิยะศิลป์ จิตแพทย์เด็ก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีได้แยกระดับความรุนแรงกรณีพ่อแม่มีความเห็นขัดแย้งกัน แบ่งได้ ๓ ระดับคือ 1.ความขัดแย้งในชีวิตประจำวัน คือการขัดแย้งกันในเรื่องไม่น่าจะเป็นเรื่อง เรื่องหยุมหยิมเล็กน้อย เช่น สามีอยากเปิดหน้าต่าง ภรรยาไม่อยากเปิด เรื่องเล็ก ๆน้อยแบบนี้ปกติพ่อแม่มักจะแสดงออกเลย
ข้างต้นเป็นส่วนของวิชาการ
แต่ในชีวิตจริงทำไมมันจัดการปัญหายากหนักหนา
ผมเองก็เจอปัญหายากๆอย่างนี้เสมอ ด้วยความที่ผมชอบที่จะอ่านใจคน โดยเฉพาะภรรยา ผมเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูงบางครั้งเรียกว่าสูงเกินไปซะด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เป็นมนุษย์สามัญชล ไม่มีญาณทิพย์วิเศษอะไรเลย วันนี้ผมขอถามใจตัวเองว่า ที่''มึง'' อ่านใจและความคิดของเขา ''มึงอ่านออกหรืออ่านถูกแล้วหรอ'' หรือว่าคิดไปเองกันแน่
เรื่องมีอยู่ว่า ผมกับภรรยาได้มีลูกชายด้วยกันเป็นเด็กน่าตาน่ารัก จากที่ผมเคยเป็นคนแข็งกระด้าง ผมหวั่นไหวต่อความรู้สึกของตัวเองว่าถ้ามีลูกขึ้นมาจริงๆ เราจะรักลูกและแสดงออกกับลูกได้มากแค่ไหน ตอนนี้ผมพิสูจน์ได้แล้วว่าสิ่งนี้มันทำให้เราหายเป็นคนจิตใจหยาบกระด้างได้ไม่มากก็น้อย ส่วนภรรยาของผมเป็นประเภท วิตกกังวล พวกขี้น้อยใจ ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงลูกลี้ยงเต้าแต่เขากลับทำใจไม่ได้เมื่อจะต้องส่งลูกให้เพื่อนบ้านที่เขารับอาสาจ้างเลี้ยง ทุกวันจะมีประเด็นและความหวาดระแวงมาทำให้ผมรำคาญใจอยู่ตลอดเวลา ผมทั้งพูดดีก็แล้ว ด่าก็แล้ว สอนก็แล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น ดูแล้วเขารู้สึกจะเครียดเป็นพิเศษ และแล้วจุดระเปิดของเราทั้งคู่ก็ส่งผล เธอกลับจากที่ทำงานราวๆ 2 ทุ่ม เธอรีบปลี่เข้าไปกอดลูก หอมลูก ส่วนผมก็นั่งเขียนบล็อกของผมไปเรื่อยๆ แต่ที่ผมลำคาญเสียงเหมือนคนพูดในลำคอบ่นเหมือนแมลงหวี่ตอมผลไม้ ระหว่างเวลา 2 ทุ่มตั้งแต่เธอกลับมาจากทำงาน ผมได้ยินเสียงบ่นไม่หยุดหย่อน ทั้งเรื่องฝาขวดนมหาย ทำไมไม่ล้างขวดนม เอาผ้าอะไรสกปรกหรือเปล่ามาห่มให้ลูก สาระพัดที่จะงัดขึ้นมาพูด อาการตอนนั้นของผมรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก และผมก็อ่านใจเธออีกว่า
''เดี๋ยวคอยดูมันจะต้องล้างจานหรือล้างขวดนมประชดประชันทำเป็นโขกนู่นโขกนี่ให้เกิดเสียงแสดงออกถึงความไม่พอใจและเรียกร้องความสนใจ''
ไม่ทันขาดคำความคิด เสียงขวดนมกระทบซิ้งล้างจานแสตนเลสดังสนั่นหวั่นไหว ด้วยความที่เหมือนรู้เหตุการ์ณที่กำลังจะเกิดยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดอารมส์เสีย ผมเดินไปต่อว่าเขาอย่างรุนแรง เขาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะอ่อนลง กลับยิ่งโขกขวดนมเพิ่ม ให้ยิ่งดังขึ้นไปอีก ทนไม่ไหวแล้วครับ มือซ้ายผมอุ้มลูก มือขวาผมเดินเข้าไปผลักที่หัวเธอเข้าให้อย่างจังเพื่อเป็นการสั่งสอน แต่นั่นและคือฉนวนปัญหาความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน อารมณ์ชั่ววูบของเราทั้งคู่แตกสบัน ถึงขนาดมีการลงไม้ลงมือกัน จบลงตงความปวดใจและช้ำใจ ช่วงจังหวะนั้นเองเขาอุ้มลูกและเดินออกจากบ้านไปช้าๆ โดยที่ผมไม่ได้สนใจมากนัก เวลาผ่านไปซักพักผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเขาได้พราก อกลูกชายที่รักของผมไปซะแล้ว เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจผมมากและอาจเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้อ่านได้บ้าง ในขณะที่เขียนบล็อกอยู่นี้ผมเขียนด้วยความสะเทือนใจ และยังมองอนาคตไม่ออกว่าจะจัดการปัญหาอย่างไรดี แต่รับรองผมจะจัดการปัญหาให้เร็วที่สุด นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสกับคำว่าความรุนแรงในครอบครัว เชื่อผมเถอะมันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ มากๆ บางทีลองคิดเล่นๆว่าน่าจะมีวัคซีนฉีดให้สามีภาายาทุกคู่เพื่อป้องกันโรค ''ความรุนแรงในครอบครัว''
สรุปวันนี้ผมมันเป็นพ่อที่ใจหมาจริงๆ
สะเทือนใจ....
|
Home »
บทความผู้เขียน
» พ่อ-แม่ทะเลอะได้ แต่ต้องสร้างสรรค์
พ่อ-แม่ทะเลอะได้ แต่ต้องสร้างสรรค์
Written By Unknown on 8/6/56 | 11:21
ป้ายกำกับ:
บทความผู้เขียน
ถ้าโทสะหรือความโกรธเข้าครอบงำแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดความวินาศ ตัวอย่างมีให้เห็นมากมายครับ ผิดแล้วพลาดแล้วก็ขอให้เก็บเป็นบทเรียน ส่วนที่มันยังเป็นปัญหาก็ค่อยๆแก้ไปโดยใช้สติ ใช้ปัญญาอย่างเต็มความสามารถโดยไม่ขุดคุ้ยแผลเก่ามาทำลายกันน่าจะพอทำให้ปัญหาที่ว่าแย่อาจจะดีขึ้นก็ได้ครับ
ตอบลบ