ว่าด้วยเรื่องรองเท้า
ยุคนึงหลายคนคงปฎิเศษความแรงของรองเท้ายี่ห้อดียี่ห้อนี้ไม่ได้ หันมองต่ำไปทางใดก็จะพบเห็นผู้คนสวมใส่ ไม่ว่าในกรุงหรือต่างจังหวัดเป็นอันว่าฮิทอินเทรนกันไปหมด ส่วนปัญหาที่ตามมาของคำว่าฮิืทก็คือ ฮิทที่จะ ลักขโมยมันมาเป็นเจ้าของ หากวางจอดไว้หน้าห้องหรืออพาร์ทเม้นเช้ามามีอันต้องสูญสลายหายไป ตามต่างจังหวัดเข้าไปทำบุญในโบสถ์กราบพระเสร็จจิตใจใสสะอาดปราศจากความโกรธ ความทุกข์ ความโมโห พอกลับออกมาจากโบสถ์เท่านั้น หาย! แทบอยากจะตีลังกาเกียวกลับเข้าไปโบสถ์เพื่อบนบานสานกล่าว สาบแช่งพวกระยำให้มันฉิบหายบรรไรกันในทันที นี่แหละครับสังคมมนุษย์เสื่อมยุควัตถุนิยมยุคนั้น
ช่วงเดือน พ.ค.ปี56 นี้มีหนังเข้าฉายอยู่เรื่องหนึ่ง เนื้อหาประมาณว่าวัยรุ่นเกิดมาเป็นได้แค่ครั้งเดียวแต่ผมก็ไม่เคยดูน่ะครับ แต่ที่ขอยกหนังของเขามาเพราะชื่อมันตรงกับบทความที่ผมจะเขียนต่อไปนี้
ผมจะขอตั้งชื่อเรื่องว่า "วัยรุ่นและเพื่อนใจหมาเกิดมาขโมยรองเท้าแค่ครั้งเดียว"
บทความนี้ขอย้อนกลับไปตอนที่ผมเสียงแตกแหบเหมือนเป็ดเป็นหวัด ความคะนองต้องนับว่าร้อนเกินประหรอดวัดไข้เด็ก ส่วนเพื่อนของผมก็ไม่แพ้องศากัน สำหรับพวกเราต้องใช้คำว่าเพื่อนสนิทตายแทนกันเลยก็ว่าได้ สังคมที่เราอาศัยอยู่คือสังคมเด็กค่ายทหาร มีรั้วรอบขอบชิดเป็นอาณาเขตวัดความเก๋า เด็กในค่ายกลุ่มอื่นเห็นหน้าพวกเราต้องร้อง ยี้ๆๆ ไม่รู้ว่าด้วยกลัวความเก๋าและนักเลงของเราหรือว่าขยักแขยงในพฤติกรรมสถุลทุกรูบแบบของพวกเรากันแน่ การถูกกล่าวขานบางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่เราทำจริงๆก็เยอะตามประสาชาวบ้านต้องใส่ไฟกันนิดนึงเรื่องมันถึงจะเข้มข้น กิจกรรมช่วงนั้นการลักขโมยถือเป็นเรื่องท้าทายมากๆสำหรับพวกเรา เริ่มต้นเรื่องง่ายๆจากกิ่งต้นโป๊ยเซียนหากได้กิ่งพันธ์ดี เช่นพันธุ์1ในจักวาล นั่นหมายถึงราคากิ่งละ 50-100 บาทเลยทีเดียว กิ่งแล้วกิ่งเล่าผมก็ยังไม่เคยเห็นเงินจากการขายกิ่งที่ขโมยมาเลยซักครั้ง พฤติกรรมของพวกเราเริ่มถูกต่อต้านจากสังคม แต่บรรดาเพื่อนบ้าน ข้าราชการ ยศ ตำแหน่งตั้งแต่ ส.ต-ร.อ. ที่ว่าแน่ๆยังจับพวกเราไม่ได้คาหนังคาเขาเลย วันเวลาผ่านไปหลายเดือน พฤติกรรมลักขโมยของพวกเราก็ยังไม่ลดละลง จนพวกเราเบื่อที่จะคลุกขี้ฝุ่นคลานต่ำเข้าไปเด็ดกิ่งโป๊ยเซียนที่มีแต่ปุ๋ยขี้วัวแห้งๆความสนุกเริ่มเลือนหายออกไปทุกทีๆ จนกระทั่งเราเริ่มมองหาโอกาสและความท้าทายใหม่ๆนี่อาจเป็นจุดจบของแก็งสะแคดกิ่งโป๊ยเซียนของเรา คืนนั้นเรายังนั่งล้อมวงดีดกีต้ากันอย่างสนุกสนานตามเคย แอลกอฮอลที่เราดื่มเข้าไป มันทำให้เพื่อนใจหมาของผมผุดไอเดีย เลวบรรเจิด
"เฮ้ยๆเมื่อกี้กูไปฉี่มาเห็นรองเท้าของน้าสาถอดอยู่ข้างบ้านว่ะ"
เอาแล้วมันเริ่มก่อการแล้ว กูน่าจะเชื่อพ่อแม่ตั้งแต่ทีแรก คบเพื่อนให้คบเพื่อนดีๆ แต่แม่ก็ไม่ได้บอกซะด้วยว่าเพื่อนดีๆ คือเพื่อนแบบไหนผมว่านิสัยมันก็ดีน่ะรักเพื่อนดี ตีต่อยไม่ต้องกลัวมันจัดการให้หมดมันรักเราปกป้องเราจะตายป่ะ ด้วยความที่แม่ผมไม่ได้ขยายความคำว่าเพื่อนดีๆ หรือความใจหมาของผมกันแน่ที่นำพาผมไปทำในสิ่งที่คิดว่าใช่ในตอนนั้น แต่คราวนี้แปลกอย่างปรกติเพื่อนผมมันจะเป็นคนลงมือทำเอง ครั้งนี้มันให้ผมทำทั้งๆที่งานใหญ่และเสี่ยงขนานนี้ไม่ควรพลาดมันน่าจะลงมือเอง แต่ไม่จำเป็นอะไรหรอกครับใครลงมือก็เหมือนกันเพราะว่าเราเพื่อนรักกันยอมตายแทนกันได้ ไม่กี่วินาทีผมเพียงแค่ก้มๆเงยในความมืดใช้มือกวาดรองเท้าทั้ง2ข้างมาอย่างง่ายดาย ในใจตื่นเต้น ขาสั่น เหงื่อไหลทั้งมือด้วยกลัวความผิด และฉีกกรอบจิตสำนึกในความเป็นคนดีที่มีอยู่ คืนนั้นทั้งคืนผมนอนไม่หลับส่วนรองเท้าคู่นั้น เพื่อนผมมันจะเป็นคนเอาไปปล่อยที่โรงเรียนในราคาคู่ละ250บาท
เช้ามากิจวัตรประจำวันของเราเริ่มขึ้น ตื่นเช้าอาบน้ำ กินขนมปังปิ้งกับโอวัลติน ของแม่ตามปรกติก่อนขึ้นรถบัสรับส่งทหารที่ใช้ขนส่งพวกเราไปโรงเรียนทุกวัน อาการกลัวและสั่นของผมหายดีขึ้นมาก แต่ก็ยังมีความกังวลในใจอย่างบอกไม่ถูก จุดจบของเรามาอยู่ในช่วงเย็นหลังกลับจากโรงเรียนนี่เอง เพื่อนร่วมแก็งของเรายืนดักรอพวกเราด้วยความกระวนกระวายใจอยู่ปากทางเข้าบ้าน เมื่อรถบัสวิ่งผ่าน มันชูนิ้วชี้ขึ้นมาและทำท่าปาดไปที่ลำคอ ทำลูกตาถลนไปถลนมาดูน่ากลัวพิลึก แย่แน่ๆ! สัญญาณเตือนของพวกเรามาถึงแล้ว ผมร้อนรนจนเกือบตั้งสติไม่ได้ แต่ไม่แน่ใจมากนักว่าเรื่องอะไรกันแน่ ยังสงสัยกับสัญลักษณ์เตือนภัยที่ถูกส่งมาจากสหายของเรา การเก็บอาการคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ผมแสร้งยิ้มและเดินเข้าบ้านอย่างปรกติ แต่วันนี้ทำไมทั้งพ่อและแม่จึงอยู่กันครบองค์ประชุมล่ะน่าแปลก "มึงบอกกูมาเดี๋ยวนี้น่ะว่ามึงเอารองเท้าเขาไปไว้ที่ไหน" เสียงแม่ผมตะคอกใส่หน้าผมเหมือนไดร์เป่าผมที่ท่านเซอร์เอล็กเฟอร์กูสันใช้ด่าลูกทีมแมนยูในเวลาที่พวกเขาเล่นแย่ คลองลูกไม่ได้ ยิงประตูไม่ได้ มันเป็นอารมณ์ที่ผมหายสงสัยในรหัสลับที่ถูกส่งมาเตือนภัยนั่นเอง ''ไม่รู้รองเท้าอะไร'' หลังจากสิ้นคำกล่าวสุนทรพจน์จอมแก้ตัวของผม ไม้เรียวที่เตรียมไว้รอยระริ่วแหวกอากาศเสียงดัง ฟิ้ว ปะทะกล้ามเนื้อก้นของผมอย่างแรง เอาแล้วเฮ้ย ไม้เรียวมาล่ะจะถูกจะผิดไม่รู็ถ้ามีเพื่อนบ้านมาฟ้องแม่ผม หรือมีเรื่องไม่ดีงามเขาหู โสลแกนแม่ผมหวดก่อนถามทีหลังครับ วันนี้แกยังดีแกถามก่อนหวด สุดท้ายผมอดทนกับการเค้นและตกเป็นผู้ต้องหาไม่ไหว ผมจึงยอมจำนวนแต่โดยดี แม่หัวเสียกับพฤติกรรมและห่วงอนาคตของผมตอนโต ไม่มีอะไรทำให้แกช้ำใจจะเกินไปกว่าช่วงวัยรุ่นของผมนี่แหละแกบอก
เช้ามากิจวัตรประจำวันของเราเริ่มขึ้น ตื่นเช้าอาบน้ำ กินขนมปังปิ้งกับโอวัลติน ของแม่ตามปรกติก่อนขึ้นรถบัสรับส่งทหารที่ใช้ขนส่งพวกเราไปโรงเรียนทุกวัน อาการกลัวและสั่นของผมหายดีขึ้นมาก แต่ก็ยังมีความกังวลในใจอย่างบอกไม่ถูก จุดจบของเรามาอยู่ในช่วงเย็นหลังกลับจากโรงเรียนนี่เอง เพื่อนร่วมแก็งของเรายืนดักรอพวกเราด้วยความกระวนกระวายใจอยู่ปากทางเข้าบ้าน เมื่อรถบัสวิ่งผ่าน มันชูนิ้วชี้ขึ้นมาและทำท่าปาดไปที่ลำคอ ทำลูกตาถลนไปถลนมาดูน่ากลัวพิลึก แย่แน่ๆ! สัญญาณเตือนของพวกเรามาถึงแล้ว ผมร้อนรนจนเกือบตั้งสติไม่ได้ แต่ไม่แน่ใจมากนักว่าเรื่องอะไรกันแน่ ยังสงสัยกับสัญลักษณ์เตือนภัยที่ถูกส่งมาจากสหายของเรา การเก็บอาการคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ผมแสร้งยิ้มและเดินเข้าบ้านอย่างปรกติ แต่วันนี้ทำไมทั้งพ่อและแม่จึงอยู่กันครบองค์ประชุมล่ะน่าแปลก "มึงบอกกูมาเดี๋ยวนี้น่ะว่ามึงเอารองเท้าเขาไปไว้ที่ไหน" เสียงแม่ผมตะคอกใส่หน้าผมเหมือนไดร์เป่าผมที่ท่านเซอร์เอล็กเฟอร์กูสันใช้ด่าลูกทีมแมนยูในเวลาที่พวกเขาเล่นแย่ คลองลูกไม่ได้ ยิงประตูไม่ได้ มันเป็นอารมณ์ที่ผมหายสงสัยในรหัสลับที่ถูกส่งมาเตือนภัยนั่นเอง ''ไม่รู้รองเท้าอะไร'' หลังจากสิ้นคำกล่าวสุนทรพจน์จอมแก้ตัวของผม ไม้เรียวที่เตรียมไว้รอยระริ่วแหวกอากาศเสียงดัง ฟิ้ว ปะทะกล้ามเนื้อก้นของผมอย่างแรง เอาแล้วเฮ้ย ไม้เรียวมาล่ะจะถูกจะผิดไม่รู็ถ้ามีเพื่อนบ้านมาฟ้องแม่ผม หรือมีเรื่องไม่ดีงามเขาหู โสลแกนแม่ผมหวดก่อนถามทีหลังครับ วันนี้แกยังดีแกถามก่อนหวด สุดท้ายผมอดทนกับการเค้นและตกเป็นผู้ต้องหาไม่ไหว ผมจึงยอมจำนวนแต่โดยดี แม่หัวเสียกับพฤติกรรมและห่วงอนาคตของผมตอนโต ไม่มีอะไรทำให้แกช้ำใจจะเกินไปกว่าช่วงวัยรุ่นของผมนี่แหละแกบอก
หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปหลายวันผมไม่เคยเจอหน้าเพื่อนผมอีกเลยและไม่เคยรู้ว่ารองเท้าคู่นั้นมันอยู่ที่ไหนถูกส่งคืนให้เจ้าของหรือยังรู้แต่ว่า เจ้าของรองเท้ามีปากเสียงกับแม่ผมอย่างรุนแรงจนมองหน้ากันไม่ติดเสียเพื่อนไปพร้อมๆกับผม เสียงลือเสียงเล่าอ้าง สายตาที่ผมถูกจดจ้องจากสังคมมันช่างน่าอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี้ แต่ยังมีเพื่อนบ้านดีๆหลายรายเข้ามาพูดคุยกับแม่ผมที่บ้าน บ้างก็เชื่อว่าผมทำตามคำสั่งเพื่อน ถูกบังคับ ถูกชักจูง เพราะพื้นฐานจิตใจผมไม่ใช่แบบนี้ มันก็น่าแปลกที่เพื่อนบ้านหลายรายไม่ตอกย้ำและทับถมแต่กับให้กำลังใจและเชื่อว่าผมเป็นเด็กที่จิตใจยังนำกลับมารียูทใช้งานได้อยู่ เรื่องก็ผ่านมานานแล้วต้องขอขอบคุณเพื่อนบ้านเหล่านั้นที่ทำให้ผมผ่านช่วงเวลาอันว้าวุ่นมาได้และรอดพ้นจากสังคมคนใจหมา
ทุกอย่างมีบทสรุป สุดท้ายเรื่องต่างๆก็สะท้อนมุมมองออกมาทีละมุม จนมาถึงมุมเพื่อนใจหมาของผม เรื่องมีอยู่ว่าเจ้าของรองเท้าเป็นญาติสนิทกับแม่ของเพื่อนใจหมาของผมเอง เมื่อรู้ว่ารองเท้าหายเช้ามาแกมาบ้านเพื่อนผมแต่เช้า แล้วใช้ความสนิทหรือจิตวิทยาอะไรไม่ทราบ ทั้งๆที่ผมคิดว่าเพื่อนผมต้องมีส่วนร่วมแน่นอน แกวอนขอร้องให้เพื่อนของผมตามหารองเท้าให้เขา ราวกับว่าเจ้าของโรงเท้าเชื่อมั่น100%ว่าเพื่อนของผมไม่มีส่วนเกี่ยวก้องแน่นอน สุดท้ายเพื่อนผมนำรองเท้ามาคืนเจ้าของแต่ไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนขโมย ยิ่งไม่บอกยิ่งอยากรู้และยิ่งอยากนำตัวคนผิดมาลงโทษ เจ้าของรองเท้าสัญญากับเพื่อนใจหมาของผมว่าจะไม่เอาผิดใครทั้งนั้น สุดท้ายมันบอกว่าผมเป็นคนหยิบ และมันเป็นคนบอกให้เอารองเท้ามาคืนเอง มันยอมโทษเพื่อนให้ตัวเองพ้นผิด มันอยากขโมยรองเท้าญาติของมันเอง มันรู้ว่าเป็นญาติมันเลยให้ผมลงมือ มันเป็นฮีโร่จับคนขโมยรองเท้าได้ สุดท้ายผมจึงขอยกย่องความใจหมาของมัน แต่การที่มันยอมใจหมาเพื่อความอยู่รอดในสังคมของมันจะเป็นเรื่องที่ถูกหรือผิดผมยกให้สังคมเป็นผู้ตอบให้ฟังก็แล้วกัน
เรื่องราวเหล่านี้ ผ่านพ้นมาร่วม 20 ปีแล้วพวกเราผ่านชีวิตหมาๆมาหมดแล้ว ทุกวันนี้เพื่อนใจหมากับผมยังคบกันและรู้จักกันดีเหมือนเดิมเราโตเป็นผู้ใหญ่ไปพร้อมกันๆ ฝ่าพันวิกิตนั้นมาได้ จึงขอให้อุทาหรเรื่องนี้บังเกิดประโยชน์กับทุกท่านที่อ่านบทความ ทั้งการคบเพื่อน การขยายความสำคัญของคำพูด หากเพียงแต่ห้ามให้วัยรุ่นทำผิดแต่ไม่มีทางออกหรือแนวทางให้เขาเลยระวังเขาจะไม่เข้าใจในคำพูดแม่เหมือนผม
ต้องขอขอบคุณครอบครัวผมที่ดูแลเอาใจใส่ผมให้รอดพ้นจากสังคมนั้นมาได้
สุดท้ายแม่ผม ไปเซ็นต์สวัสดิการร้านค้า เพื่อถอยรองเท้าคู่ใหม่เอี่ยมให้ผมแกคงคิดว่าผมคงอยากได้มันมากแต่แท้จริงแล้วผมแค่ต้องการความสนุกความสะใจ ที่ฮอร์โมนวัยรุ่นของผมมันหลั่งออกมาเท่านั้นเอง อยากพ่อแม่ครับ
ปล.การได้รับความอบอุ่น และถูกสั่งสอนในวัยเยาว์มาอย่างดี เมื่อถึงช่วงวัยรุ่นยังว้าวุ่นและใจหมาได้เพียงนี้ แต่ลองมองนึกดูดีๆหากไม่ได้รับการสั่งสอนหรือถูกอบรมหรือรับความอบอุ่นมาเลยในวัยเยาว์ เมื่อถึงช่วงวัยรุ่น อาจจะใจหมาหรือว้าวุ้นกว่าเรื่องนี้ก็เป็นได้ ขอเถอะครับทุกช่วงนาทีของลูกมีความหมาย........
สุดท้ายแม่ผม ไปเซ็นต์สวัสดิการร้านค้า เพื่อถอยรองเท้าคู่ใหม่เอี่ยมให้ผมแกคงคิดว่าผมคงอยากได้มันมากแต่แท้จริงแล้วผมแค่ต้องการความสนุกความสะใจ ที่ฮอร์โมนวัยรุ่นของผมมันหลั่งออกมาเท่านั้นเอง อยากพ่อแม่ครับ
ปล.การได้รับความอบอุ่น และถูกสั่งสอนในวัยเยาว์มาอย่างดี เมื่อถึงช่วงวัยรุ่นยังว้าวุ่นและใจหมาได้เพียงนี้ แต่ลองมองนึกดูดีๆหากไม่ได้รับการสั่งสอนหรือถูกอบรมหรือรับความอบอุ่นมาเลยในวัยเยาว์ เมื่อถึงช่วงวัยรุ่น อาจจะใจหมาหรือว้าวุ้นกว่าเรื่องนี้ก็เป็นได้ ขอเถอะครับทุกช่วงนาทีของลูกมีความหมาย........
สรุปคะแนน เต็ม10
ผมใจหมา 8
เพื่อนผมใจหมา 10
ให้คะแนนเท่านี้ล่ะกัน ชิวๆว่ะไอ้เพื่อนใจหมา
0 ความคิดเห็น:
Speak up your mind
Tell us what you're thinking... !