คนออฟฟิตแม่งวันๆทำอะไร
มาอีกแล้ว! ปัญหาพื้นฐานในการทำงาน จากประสบการณ์การทำงานของผมมาร่วม 10 ปี ตั้งแต่เรียนหนังสือจบ ทำงานมาก็หลายตำแหน่งและหลายบริษัทฯ จริงๆแล้วเริ่มทำงานมาตั้งแต่เรียนอยู่ด้วยซ้ำเมื่อ10กว่าปีที่ผ่านมา ผมต้องออกจากบ้านนอกคอกนามาพักอาศัยกับป้าอยู่ที่ กทม.สภาพการเป็นอยู่ถือว่าคับแคบมากๆ อาคารพาณิชย์ 3 ชั้นซอยชั้นละ2ห้อง ตรงกลางอาคารแบ่งทำบรรไดทางเดินขึ้นลงตึก สรุปแล้วแล้วก็ครึ่งหนึงของคูหาที่ผม และ ลูกพี่ลูกน้อง3คน ป้า1คน น้า1คน หมา4ตัว โอ้โหแออัดสุดๆครับ แต่ห้องเช่าที่เราเช่าอยู่นั้น กลับอยู่ด้วยความสุขใจ มีเตียง2ชั้น1เตียงซึ่งเตียงชั้นบนคือวิมารใช้หลับนอน ท่องหนังสือ เขียนบทความ ครับอยู่บนนั้นครับ ที่ว่าอยู่ด้วยความสุขใจคืออะไรหรอครับ คือการยอมรับในสิ่งที่เรามี ที่เราเป็น และมองหาการขยับขยายให้กว้างขวางขึ้นให้สุขสบายขึ้น ซึ่งทุกวันนี้ก็เป็นจริงแล้ว ผม และ ป้าที่ผมเคยขออาศัยอยู่ด้วยตั้งแต่อายุ 18 เราซื้อบ้านได้คนล่ะหลังหันหน้าชนกันย่านนนทบุรี แต่ไม่ได้ซื้อเลยน่ะครับก็ยังต้องผ่อนธนาคารอยู่ดี สมาชิกที่เคยอยู่ร่วมกันที่ตึกแถวในกรุงเทพ ก็ตบท้าวพาเหรดมากันครบ แต่ที่หายไปก็จะเป็นน้องหมาทั้ง4ตัวได้ตายจากกันไปหมดแล้ว แต่ปัจจุบันมีหลานๆ เกิดขึ้นใาเพิ่มอีกหลายคน จนมองว่าอีกไม่นานก็ต้องมีการขยับขยายเพิ่มอยู่ดี
มาเรื่องเกี่ยวกับการทำงานกันดีกว่า ตอนอาศัยอยู่กับป้าผมต้องเลือกเรียนภาคค่ำเนื่องจากเวลากลางวันผมอาจจะไปหารายได้ระหว่างเรียนเป็นงาน พาร์ทไทม์ หารายได้พอค่าหน่วยกิจได้ เริ่มต้นผมเสริฟอาหารวันล่ะ 4 ชม เป็นอาหารปิ้งย่างของญี่ปุ่น ค่าแรงอยู่ที่ ชม.ละ25 บาท ก็พอมีเป็นค่ารถค่าข้าวได้บ้างนิดหน่อย เสริฟไปเสริฟมาเจ้าของร้านชวนเป็นผู้ช่วยผู้จัดการซะงั้น แต่มันยังไม่ถึงเวลาผมมีหน้าที่ต้องเรียนหนังสือให้จบก่อนผมจึงปฎิเศษไป เสริฟอยู่ร้านเดิมอย่างงั้น 4 ปีครับ ไม่น่าเชื่อที่เราทนกับความเหน็ดเหนื่อตรงนั้นได้ มีสุขบ้างทุกข์บ้างสลับกันไป หลังจากนั้นไปนานถึงเวลาที่ผมจะต้องบินออกไปหาโลกที่กว้างกว่า สุขสบายกว่า ใหม่กว่า แต่การหางานสำหรับผู้จบใหม่มันไม่ง่ายเลย รอเรียกตัวแล้วเรียกตัวอีกก็ยังไม่ได้ หรือได้แล้วก็ไม่สะดวกที่จะไปร่วมงานกับเขา สุดท้ายต้องมาเป็นพนักงาน PC ขายผักปลอดสารพิษ ที่ คาร์ฟูรัชดา ค่าแรงวันละ 180 บาท ระหว่างนั้นก็มีสังคมใหม่ๆเกิดขึ้นกับผม เป็นสังคมที่ต้องออกจากบ้านนอกมาแสวงหางาน หรือเรียนเหมือนกันกับผม สังคมนี้มักจะต่อว่าหัวหน้างาน หรือเสมียน แคชเชียร์ ตรงที่ว่างานที่พวกเขาทำ เขาผลิต หรืออยู่แผนกการผลิตที่ต้องใช้แรงงานสูงกว่าคนอื่นแถมยังได้รับค่าแรงที่น้อยกว่า พวกเขาวันๆทำอะไรกัน นั่งเขียนอะไรอยู่บนโต๊ะดูท่ทางสบายดี ส่วนหัวหน้าก็ไม่เคยจะคิดช่วยหยิบจับอะไรวันๆใช้แต่วิทยุสื่อสารชี้ให้ทไนู่นให้ย้ายนี่ แทนที่จะมาช่วยกันยกให้เสร็จๆไป ส่วนแคชเชียร์เวลาว่างไม่มีลูกค้าก็หยิบแป้งพับแป้งตลับมาฟอกหน้า ช่างสบายกันจริงๆๆ
ทำไงได้ผมก็ต้องเออออไปกับเขาด้วยซิ
หลังจากนั้น6เดือนผมได้งานตามที่ฝันแล้ว เป็นพนักงานออฟิตระดับเล็กๆ กว่าได้ได้งานนี้ต้องหน้าทนน่าด้านหน้าดู เนื่องจากเขามีทดสอบการทำงานก่อนจะรับเข้าทำงาน หัวหน้างานที่นั่นหยิบกระดาษที่มีตารางและตัวเลขเต็มไปหมดมาให้ผม1ฉบับ แล้วให้ผมสร้างตาราง พร้อมกับSUMสูตรในโปรแกรม Excell ให้เหมือนตัวอย่างในกระดาษ ต้องบอกจริงๆว่าผมไม่เคยใช้คิมพิวเตอร์มากนักเต็มที่ก็ใช้เล่นเกมส์บ้างนิดๆหน่อยๆ คอมพิวเตอร์สมยนั้นมีกันง่ายๆที่ไหน ผมนั่งงมโข่งตั้งแต่เวลา 13.00น-17.00น. ได้เวลาเลิกงานของเขาพอดี ผู้จัดการเรียกผมเข้าไปพบและถามผมว่าตกลงผมทำไได้ไหม ผมตอบอย่างไม่อายครับ ไม่ได้ผมทำยังไม่ได้ ถ้าผู้จัดการให้โอกาสผมอีก 1 วันพรุ้งนี้ผมขอกลับมาทำใหม่ครับ ผู้จัดการอมยิ้มและหันไปหาหัวหน้างานคนที่ทดสอบผม ว่าไงให้โอกาสน้องเขาไหมผู้จัดการถามหัวหน้างาน ได้ค่ะดูตั้งใจดีพี่ให้โอกาสอีก1อาทิตย์แล้วมาเริ่มทดสอบกันไหม ความฝันของผมยังไม่สลายครับ
คืนนั้นทั้งคืนคือว่าเวลาที่ผมต้องพิสูจน์ตัวเองที่ร้านคอมพิวเตอร์ให้เช่าเล่นเกมส์ข้างตึกแถวที่อาศัยอยู่เป็นสังเวียนในการฝึกซ้อมของผม ผมซื้อหนังสือการใช้โปรแกรม Excell มาศึกษาใช้เวลาไม่นานครับมันเหมือนเส้นผมบังพูเขา คืนน้้นผมสร้างตารางตามตัวอย่างและรูปแบบใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกหลายตารางนับรมกันไม่ต่ำกว่า 50 ตารางจนแน่ใจแล้วว่าทำได้แน่นอนจึงกลับบ้าน เช้าวันรุ่งขึ้นผมรีบไปที่ออฟฟิตแต่เช้าเพื่อขอพบหัวหน้างานคนนั้น แกมองผมแล้วซักพักเขาก็จำผมได้อ้าวมาทำไมล่ะน้องพี่นัดตั้งอาทิตย์หน้า ผมรีบตอบอย่างเร็วผมทำได้แล้วครับผมขอทดสอบกันวันนี้เลย พี่เขาก็ตกลงผมใช้เวลา 15 นาทีในการทำแบบทดสอบ หัวหน้างานเดินเข้ามาตรวจพร้อมกับพูดว่าอ้าวก็ทำได้นี่ทำไม่เมื่อวานไม่ทำแบบนี้ล่ะ ผมบอกเขาไปว่าผมพึ่งจะซื้อหนังสือมาศึกษาเมื่อคืนนี้เอง หัวหน้างานพยักหน้าแล้วบอกผมให้นั่งรอที่โต๊ะว่างๆหนึ่งซึ่งสุดท้านก็คือโต๊ะที่ผมใช้นั่งทำงานจริงนั่นเอง สรุปผมได้งานทำเป็นพนักงานปัญชีเล็กๆคนหนึ่ง
แต่เหตุการณ์ก็ยังไม่จบผมทำงานที่นั่นได้3เดือนบริษัทมีนโยบาย รีทาย พนักงานออกเนื่องจากปัญหาเศษฐกิจ ตัวเต็งในนั้นคือผมแน่นอนเพราะถ้าคัดผมออกค่าชดเชยที่บริษัทต้องจ่ายผมมันน้อยนิดเดียว
ผู้จัดการเห็นท่าไม่ดีท่านส่งผมไปรักษาการแทนและทำบัญชีไปด้วย โดยอ้งกับผู้บริหารว่า ถ้ามีพนักงานบัญชีที่สาขาดอนเมืองซักคนและทำตำแหน่งดูแลสโตร์ได้จะลดต้นทุนและลดความยุ่งยากในงานที่สาขาได้ ผู้บริหารเห็นฟ้องตามที่ผู้จัดการรายงาน คราวนั้นต้องขอบคุณผู้จัดการเป็นอย่างสูงที่ท่านกรุณายอมรับว่าไหวพริบท่านดีจริงๆ หลังจากนั้นอีก6เดือนมีคำสั่งเรียกตัวผมกลับ สนง.ใหญ่เพื่อนๆต่างยินดีและต้อนรับกลับอย่างอบอุ่นการทำงานของผมพัฒนาขึ้นจากทั่วไป เริ่มมาทำบัญชีต้นทุน ทำอยู่ได้2เดือนมีอันต้องพลิกโผอีก เมื่อมีคำสั่งย้ายผมไปอยู่แผนกการเงิน ผมเสียใจมากกับคำสั่งนี้นั่นหมายถึงผมทำงานได้ไม่ดีพอหรอจึงย้ายผมออกจากแผนก แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย เขาต้องการคนหนุ่มที่เป็นผู้ชายสามารถหอบและรักษาเงินตามสาขาต่างๆไปเข้าธนาคารได้อย่างปลอดภัย เขาคงอาจเห็นผมเป็นคนซื่อด้วยล่ะมั้ง การทำงานในแผนกการเงินของผมเป็นไปอย่างราบรื่นไม่นานผมได้เป็นหัวหน้าแผนก จับเงินเป็นล้านเป็นแสน โดยไม่ต้องกลัวคำว่าผมเชิดเงิน ผู้จัดการใหม่ท่านเมตราผมมากทุกวันนี้เราก็มีโอกาสคุยกันบ้างถามประสาลูกน้องลูกพี่ อีกท่านท่านเป็นภรรยาของผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดทำให้มีคนอิจฉาในอำนาจ หรือ แบล็คอัพที่ผมมีทั้งๆที่ผมยังไม่เคยใช้มันในทางที่ผิดเลย จากนั้นอีก 3 ปีบริษัทมีอันต้องปิดตัวลง
หลังจากออกจากงานผมกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดและทำงานในบริษัทผลิตอาหารกระป็องอีก2ปีจนมาซื้อบ้านอยู่ที่นนทบุรี ก็เริ่มออกหางานใหม่ จนได้ทำงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เขาให้ผมทำในตำแหน่งฝ่ายบุคคลนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม แต่การเป็นฝ่ายบุคคลมันยากที่จะให้พนักงานยอมรับอีกทั้งเราเป็นคนต่างถิ่นอีกด้วย แต่ผมก็เอามันอยู่ใช้เวลา3เดือนปรับตัวจนเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้นแต่แล้วก็ต้องมีเหตุการณ์ ในขณะนั้นโรงงานก็เกิดวิกิตการเงินขึ้นมาเหมือนกันโดยผมมีหน้าที่ต้องทำความเข้าใจให้พนักงานทราบถึงปัญหา ทำให้พนักงานไม่พอใจเป็นอย่างมากเกิดการโต้เถียงเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนพารไปถึงเรื่องเงินเดือนที่ไม่เท่าเทียมกันและปัญหาเดิมเหมือนตอนที่ผมทำงานที่คาร์ฟูคือมีพนักงานกลุ่มหนึ่ง ตะโกนท้าทายอย่างไม่เกรงกลัวกฎระเบียบโรงงาน และไม่ให้เกีรติผู้บริหาร หัวหน้างานแม้แต่น้อย
''คนออฟฟิตกับไอ้พวกหัวหน้างาน แม่งวันๆทำอะไร นั่งเล่นแต่คอมพิวเตอร์ ว่างๆพวกมึงมาลองปั้มงานยกงานอย่างพวกกูบ้างจะได้รู้ว่าพวกกูเหนื่อยขนาดไหนเงินเดือนแม่งก็แพง พวกกูทำแทบตายได้แค่วันล่ะ 300 บาทนั่งห้องแอร์มีกาแฟกินสบายจริงน่ะพวกมึง''
จากนั้นพนักงานเริ่มแตกออกเป็น2ฝั่งๆที่สบับสนุนพนักแกนนำเหลือกันแค่3คนโดย โดยการที่ผมตะโกนกลับไปหาพวกเขาว่า 'พนักงานคนไหนที่ไม่ได้คิดเหมือนกับคนที่ตะโกนออกมาเมื่อกี้และยืนยันว่ายังมีความสุขกับงานให้แยกออกไปยืนอีกฝั่งแล้วเดี๋ยวเรามาหารือกันเรื่องของเงินเดือนว่าจะเลื่อนออกไปถึงวันไหนหรือใครมีภาระต้องใช้เงินด่วนจะขอออกเงินบางส่วนให้เป็นพิเศษก่อน' .
พวกแกนนำเริ่มสีหน้าไม่สู้ดีผมจึงย้ำต่อไปอีก 'สำหรับพวกคุณที่คิดว่าคนอื่นเขาสบายกว่าตัวเอง เงินเดือนเยอะกว่าตัวเอง ทำไมคุณไม่ทำตัวเองให้สบายเหมือนกับเขาล่ะ ผมบอกตรงๆ คนที่เขาสบายกว่าคุณเขาอาจจะเคยลำบากมาก่อนคุณก็ได้ พ่อแม่เขาต้องขายความส่งเขาเรียนเป็นหนี้เป็นสินส่งเขาเรียนเขามีต้นทุนในชีวิติ พอเขามีความรู้เขาก็เอาความรู้มาทำงานของเขา แต่ถ้าชาตินี้ถ้าคุณทำงานสบายไม่ทันให้คุณมองไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานของคุณส่งเสริมให้เขาทำงานสบายๆตอนโตนั่นแหละคือหน้าที่ๆคุณต้องทำคุณมาเรียกร้องอะไรหรือมองว่าใครสบายหรือลำบากกว่าเพื่อประโยชน์อะไรทำไมคุณไม่มาสมัครในตำแหน่งที่คุณคิดว่าสุขสบายล่ะ แล้วเพื่อนๆอีกส่วนที่แยกออกมาจากกลุ่มคุณเขาไม่ลำบากหรอบางคนเป็นผู้หญิงเงินเดือนน้อยกว่าคุณเขายังไม่เคยบอกว่าลำบากเลย แล้วหลังจากวันนี้ไปคุณจะทำอย่างไรกับชีวิตการทำงานที่นี่ หรือถ้าคุณคิดว่ามีที่อื่นที่สบายกว่าทำไมไม่ลองไปสมัครทำงานกับเขาล่ะ คุณรู้ไหมทุกวันนี้ทุกโรงงานเขามีการสื่อสารข่าวสารและข้อมูลพนักงานให้กันและกันแล้ว ให้ผมรายงานหรือสื่อสารกับโรงงานอื่นๆให้ไหมว่ามีพนักงานโรงงานผม3คนค้องการงานสบาย หากคนออฟฟิตหรือหัวหน้างานทำงานสบายกว่าเขาเขาก็ไม่อยากทำงาน''
หลังจากวันนั้นผมได้รับฉายาว่า ฝ่ายบุคคลที่เถื่อนที่สุดในประเทศไทย สุดท้ายแกนนำทั้ง3ก็ยังคงทำงานร่วมกับพวกเราโดยเขาขอเจรจาและขอโทษกับการกระทำของเขา
สรุปแล้วเขาใจหมาหรือว่าผมใจมด
0 ความคิดเห็น:
Speak up your mind
Tell us what you're thinking... !